098-8858853 (คลิ๊กเพื่อโทรออก) รับสาย 8.30 - 20.00 น. ทุกวัน

หากคุณอยากปิดการขายมากขึ้น อยากมีธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ คุณต้องเข้าใจ และทำความรู้จัก keyword แต่ละประเภทให้ดี

Keyword เปรียบเสมือนกุญแจสำคัญในการขายเปิดประตูแห่งความสำเร็จ หากคุณใช้กุญแจผิดดอก ก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะปลดล็อคบานประตูที่สำคัญเหล่านั้น

Keyword คือจุดเริ่มต้นในการทำธุรกิจ และเป็นถนน ที่จะนำคุณไปสู่ความสำเร็จหรือล้มเหลวในการทำการตลาดออนไลน์

” แต่ผมโฆษณาบน Facebook เป็นหลัก ไม่เห็นจะต้องสนใจเรื่อง keyword อะไรเลย”

นี่คือสิ่งที่หลายคนคิด แต่ก็เป็นเหตุผลที่ทำให้ธุรกิจ sme จำนวนมากไม่ประสบความสำเร็จเช่นกัน

ไม่ว่าคุณจะทำการตลาดผ่าน Google หรือ Social Media อย่าง Facebook การทำ keyword Research ในเชิงลึก จะเป็นการผนวกและประสานการทำงานทั้ง 2 ฝั่ง

คุณจะมีระบบ ที่ สามารถปิดการขายกับลูกค้าที่ตรงกลุ่มตรงคน เป็นกลุ่มคนที่อยากจะซื้อสินค้าของคุณจริงๆ

เมื่อคุณสามารถใช้คีย์เวิร์ดที่มีคุณภาพเป็นตัวเชื่อมระหว่าง search engine และ Social Media แล้ว คุณจะสามารถผลักดันยอดขายให้เป็นไปอย่างที่ต้องการได้ ดังนั้นประเด็นนี้จึงเป็นสิ่งที่คุณไม่สามารถมองข้ามได้

ดังคำกล่าวที่ว่า ” ใช้ keyword ผิด คิดจนตัวตาย” นั่นเอง เรามาเริ่มต้นดูแต่ละประเภทของ keyword กันเลยครับ

1. Short-Tail Keyword

Keyword ในกลุ่มนี้จะเป็นคำสั้นๆ ซึ่งเป็นแค่การนำคำไม่เกิน 3 คำมารวมกัน เราอาจเรียกคีย์เวิร์ดในกลุ่มนี้อีกอย่างหนึ่งว่า Head Keyword

Short-Tail Keyword จะมียอดค้นหา (Search Volume) ที่สูงมาก แต่เป็น keyword ที่คุณยังปิดการขายไม่ได้ เพราะเป็นกลุ่มคำที่คนเพิ่งเริ่มต้นเสิร์ชหาข้อมูลพื้นฐาน

เบิกได้ว่านอกจากทำ seo ให้ติดอันดับยากแล้ว ค่าโฆษณาบน Google AdWords แต่อาจจะเป็นเพราะการขาดความเข้าใจทำให้เราเห็นธุรกิจมากมายทีเดียวที่ยอมทุ่มงบสิ้นเปลืองมหาศาลเรานี้เพื่อให้ติดอันดับโฆษณาบน search engine

บางครั้งเราจะต้องจ่าย ค่าโฆษณาต่อคลิกบน Google แพงเกินความจำเป็นถึง 20 เท่าเลยทีเดียว เพียงแค่เพราะเราไม่เข้าใจกลยุทธ์การใช้ keyword ที่ถูกต้อง

เนื่องจากชีวิตกลุ่มนี้ เพียงแค่ใช้เพื่อเริ่มต้นในการทำการ Research หรือค้นหาข้อมูลต่างๆ จึงเป็นการยากที่เราจะระบุ “Search Intent” หรือความตั้งใจซึ่งเป็นสาเหตุในการที่ลูกค้าทำการค้นหาผ่าน Keyword เหล่านั้น

ตัวอย่างเช่นคนที่เสิร์ชหาคำว่า “มะนาว” บน Google ไม่ได้หมายความว่าอยากซื้อมะนาว เขาอาจอยากได้ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับมะนาว เพื่อจะทำการค้นหาข้อมูลที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างมะนาวกับการรักษาโรคมะเร็งก็เป็นไปได้

แต่เพราะเป็นการใช้คำที่สั้นมาก ทำให้เราไม่เข้าใจความตั้งใจเบื้องหลังการค้นหา ด้วยการใช้คำนี้

ดังนั้นให้จำไว้ว่าเราจะต้องเจาะ keyword ให้ลึกลงไปอีก เพื่อค้นหาความตั้งใจในการ search หาข้อมูล เมื่อเราขอทราบความตั้งใจของลูกค้าแล้วเราถึงจะจับคู่กับสินค้าหรือบริการ ที่จะนำไปสู่การปิดการขายได้

แล้วเราจะใช้ Short-Tail Keyword ให้เกิดประโยชน์อย่างไร?

วิธีการใช้งาน keyword กลุ่มนี้ก็คือ เราจะนำมาเป็นแผน หรือธีม ในการเจาะลงไปให้ลึกกว่าเดิม เพื่อทำการ แตกย่อยแผนการทำ Content ของเรา ให้ละเอียดมากยิ่งขึ้น และเป็นการครอบคลุมประเด็นที่เกี่ยวข้องกับสินค้าและบริการของเรา

หัวใจสำคัญของการทำสิ่งนี้ก็คือ เราจะต้องรู้ว่าเราไม่ได้มีหน้าที่เปลี่ยนความคิดของลูกค้า แต่เรามีหน้าที่ “จับคู่ความต้องการ” เข้ากับสินค้าหรือบริการของเรา

ตัวอย่างการทำ Content Theme

มะนาว –> มะนาวรักษาโรคมะเร็งได้หรือไม่?

–> สารสกัดจากมะนาวดีอย่างไร?

–> สารสกัดจากมะนาวที่สามารถต้านอนุมูลอิสระได้

–> สารสกัดจากมะนาว มีอะไรบ้าง ทำอะไรได้บ้าง มีในเครื่องสำอางยี่ห้อใดบ้าง เป็นอันตรายต่อผิวหรือไม่?

–> การดื่มน้ำมะนาวรักษาโรค หรืออาการใดได้บ้าง

–> อาหารเสริมยี่ห้อใดบ้างที่มีสารสกัดจากมะนาวเข้มข้น

2. Long-Tail Keyword

Keyword กลุ่มนี้จะประกอบไปด้วยคำมากกว่า 3 คำขึ้นไป ซึ่งช่วยให้เราเข้าใจความต้องการของลูกค้าที่ชัดเจนมากขึ้น ช่วยให้เราสามารถจับคู่ความต้องการของลูกค้า เข้ากับสินค้าหรือบริการของเราได้ง่ายขึ้น

หลายคนเข้าใจผิดคิดว่าคำกลุ่มนี้ไม่สำคัญ เพราะพ่อไปเปรียบเทียบกับคำสั้นๆแล้วมักจะมียอดค้นหา (Search Volume) ที่น้อยกว่า

แต่ให้คุณลองจินตนาการนะครับ ถ้าคุณสามารถนำกองทัพเข้ายึดชัยภูมิสำคัญ จะบุกตีเมือง คุณนำกำลังทัพล้อมรอบเมืองเอาไว้ สุดท้ายแล้วคุณก็จะสามารถยึดเมืองนั้นได้สำเร็จ

โทรหาคุณสามารถทำ Content ตรงกับกลุ่มคำ Long-Tail Keyword ได้ดี Google จะให้รางวัลกับคุณ ก็คือ คุณจะกลายเป็น Authority Site ใน Keyword กลุ่มนั้นทันที

หมายความว่า Google จะดันอันดับหน้าต่างๆของเว็บไซต์คุณให้อยู่อันดับต้นๆในการเสิร์ชหาคำที่เกี่ยวข้องเหล่านั้น แล้วเมื่อคุณอัพเดทบทความใหม่ๆ เว็บไซต์ของคุณก็จะได้รับความสนใจเป็นพิเศษ ซึ่ง Google ก็จะเข้ามาเก็บข้อมูล Content ของคุณเพื่อไปจัดอันดับได้ไวกว่าเว็บไซต์ที่ Google ไม่เห็นความสำคัญ

เรียกได้ว่า Long-Tail Keyword มีความสำคัญกับการทำ SEO อย่างมากจริงๆ

กลุ่มคําในลักษณะนี้ ทำให้คุณสามารถระบุ Search Intent หรือความตั้งใจในการค้นหาข้อมูลของ User ได้ เป็นการระบุที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น คุณจึงสามารถนำข้อมูลการเสิร์ชเพื่อไปทำ Content ในการปิดการขายได้ดียิ่งขึ้น

ยกตัวอย่างเช่นหากลูกค้ากลุ่มเป้าหมายของคุณ Google หากลุ่มคำว่า ” เครื่องสำอางที่มีสารสกัดจากมะนาวเข้มข้น ราคาไม่เกิน 400 บาท” ก็จะเป็นข้อมูลการเสิร์ชที่มีการระบุความตั้งใจที่ค่อนข้างชัดเจน

หากคุณมีสินค้าหรือครีมตัวนี้ขายพอดี นี่ก็จะเป็นโอกาสการปิดการขายที่ดีของคุณ รหัสคุณทำ Content ที่มีพลัง คุณก็สามารถลมหนาวเพื่อปิดการขาย และทำยอดได้มากขึ้น

วิธีการก็คือคุณจะต้องเอา Long-Tail Keyword มาสร้าง Content ให้ตรงกัน

ข้อควรระวังและไม่ควรทำอย่างเด็ดขาด ก็คือการพยายามนำเสนอสิ่งที่ไม่ใช่ความต้องการของลูกค้า อย่าพยายามเปลี่ยนใจลูกค้า เพราะนั่นยากประกอบการกับการเข็นครกขึ้นภูเขา

โดยปกติแล้วคนเราจะมีความสนใจที่ชัดเจน ณช่วงเวลาขณะใดขณะหนึ่ง ซึ่งถ้าคุณจับความสนใจในช่วงเวลานั้นได้ คุณก็สามารถทำ Content ให้ลูกค้าอ่านได้เช่นกัน

3. Short-Term Fresh Keyword

Keyword กลุ่มนี้ คือกลุ่มคำที่กำลังเป็นกระแส ณช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง ยกตัวอย่างเช่น หนังที่กำลังเข้าฉาย ในโรงภาพยนตร์ และเป็นกระแสที่ผู้คนสนใจ

เช่นเรื่อง “Avenger: Infinity War” ที่เคยเป็นกระแสไปทั่วโลกอยู่พักหนึ่ง หรืออาจจะเป็นข่าวที่กำลังดังอยู่ในขณะนั้น หรือเป็นคำค้นหาที่เกี่ยวข้องกับคน หรือสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เช่นข่าวการเมือง สังคม หรืออาชญากรรม

Keyword กลุ่มนี้จะมี search Volume ที่สูงมากในช่วงเวลาที่จำกัด เมื่อกระแสเริ่มบางลงก็จะไม่เป็นที่สนใจอีกต่อไป

ซึ่งคุณสามารถนำ Keyword กลุ่มนี้มาสร้าง Content ในลักษณะที่เราเรียกว่า Newsjacking คือการอาศัยหัวข้อที่กำลังเป็นที่สนใจในขณะนั้น เป็นการเปิดหัวเรื่อง ในการเขียน Content ดูในย่อหน้าแรกก็อาจจะพูดถึงข่าว จากนั้นก็วิเคราะห์เพื่อเชื่อมโยงประเด็นให้เกี่ยวข้องกับสินค้า หรือบริการของเรา ซึ่งจะทำให้ Content ของคุณได้รับยอดวิวอย่างมากในช่วงเวลาที่ข่าวนั้นกำลังดัง

4. Long-Term Evergreen Keyword

Keyword กลุ่มนี้มีความ “เกี่ยวข้อง” หรือ “Relevancy” โดยไม่จำกัดช่วงเวลา และไม่สัมพันธ์กันกับสถานการณ์ทางสังคม หรือข่าวที่กำลังเป็นประเด็น

กลุ่มคำประเภทนี้ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนาน หลายปี ก็ยังเป็นที่ค้นหา อยู่เรื่อยๆ ซึ่งการทำ Content จากกลุ่มคำประเภทนี้จะทำให้คุณได้รับยอดวิวอย่างต่อเนื่อง เพราะมีการค้นหาอยู่เสมอ

ตัวอย่างเช่น หากคุณให้บริการ เป็นโบรกเกอร์ในตลาดหลักทรัพย์ คุณอาจทำบทความที่เกี่ยวข้องกับการสอนเล่นหุ้น การดูกลยุทธ์ต่างๆที่ใช้กันทั่วไป หรือบทความที่สอนให้เข้าใจหลักการพื้นฐานในการวิเคราะห์ตัวเลขต่างๆ

สิ่งที่น่าสนใจก็คือ Content พรุ่งนี้จะทำให้ตัวของคุณกลายเป็น Authority Site ได้เช่นเดียวกัน หมายถึงเว็บไซต์ของคุณจะกลายเป็นเว็บไซต์ที่มีพลังบน Google คือ Google จะให้ความสำคัญและศิษย์แกไม่ใช่ของครูในการจัดอันดับต้นๆก่อนเว็บไซต์อื่นที่เป็นคู่แข่ง

5. Keyword ที่ตรงกับตัวสินค้า

หากสินค้าของคุณมีชื่อ รุ่น ยี่ห้อ ราคา หรือหมายเลขสินค้าที่ระบุชัดเจน คุณสามารถเอามาใช้ในการทำ Content ได้เช่นกัน

Keyword กลุ่มนี้สามารถทำ seo ให้ติดอันดับบน Google ได้ค่อนข้างง่าย และการโฆษณาผ่าน Google AdWords ก็มีราคาที่ถูกเช่นเดียวกัน

วิธีการใช้ keyword แบบนี้มีข้อดี เพราะเป็นการบีบวัตถุประสงค์ในการค้นหาให้แคบลงมามาก ลูกค้ามีความตั้งใจที่ชัดเจนในการค้นหาสินค้าตัวนั้นๆ

ซึ่งหน้าที่ของคุณคือการทำ Content ที่ดี เพื่อบอกลูกค้าว่าทำไมพวกเขาควรจะซื้อสินค้าตัวนั้นจากคุณ คุณให้อะไรมากกว่าคู่แข่งบ้าง บริการหลังการขายของคุณแตกต่างและดีกว่าอย่างไร

คุณอาจสามารถจัดส่งสินค้าได้แบบทันทีรวดเร็วไม่ต้องรอ ก็จะเป็นจุดแข็งให้คุณสามารถเอาชนะคู่แข่งได้ ควรจำไว้เสมอว่าการเอาชนะคู่แข่ง ไม่จำเป็นต้องเล่นสงครามราคาเสมอไป เพราะการให้บริการที่ดีกว่าและแตกต่างก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ลูกค้าตัดสินใจเช่นกัน

มีครั้งหนึ่งผมกำลังค้นหา ข้อมูลเพื่อที่จะเลือกซื้อ S-Pen มาใช้กับ Tablet เพราะตัวเก่าใช้จนหัวแตกไปแล้ว ปกติเวลาผมเขียนบทความผมจะติดการเขียนบน Tablet ออกมาเป็น draft ก่อน จากนั้นจึงค่อยพิมพ์ลงบนคอมอีกที

หลังจากเสิร์ชหาข้อมูลไปเรื่อยๆก็ไปเจอเว็บ Shopping เว็บหนึ่ง ที่มี S-Pen รุ่นที่ใช้อยู่ ซึ่งเป็นรุ่นที่ผมกำลังมองหาอยู่พอดี แต่ราคาที่ขายถูกมากจนน่าตกใจ คือร้านค้าร้านนี้ขายถูกจนผิดปกติ

แม้ว่ารีวิว จะมีการเขียนอวยกันในเชิงบวก แต่ผมค่อนข้างมั่นใจว่านี่จะต้องเป็น S-Pen ของปลอมอย่างแน่นอน เพราะราคาถูกกว่าเจ้าอื่นมากกว่า 2 เท่า จึงไม่เกิดความมั่นใจในการซื้อ และทำให้ผมหันไปหาเจ้าอื่น แล้วซื้อจากเจ้านั้นแทน

เพราะแม้ว่าตัวที่ร้านค้าแรกเสนอขายจะมีราคาถูกมาก แต่หากใช้แล้วไม่ดีก็จะส่งผลเสียกับการทำงานของผมทันที

6. Customer Defining Keyword

หากคุณไม่รู้ว่าลูกค้าใช้ keyword ตัวไหนกันแน่ในการค้นหา คุณไม่ทราบความชัดเจน ว่าคอนเทนต์ที่นำไปสู่การปิดการขาย ควรทำมาเป็นอย่างไร

กลยุทธ์หนึ่งที่คุณควรใช้ในสถานการณ์เช่นนี้ ก็คือการใช้ระบบ tracking เข้ามาช่วย เพื่อตรวจจับ กลุ่มคำที่เป็น Search Term ต่างๆที่ลูกค้าค้นหาแล้วกดเข้ามาจาก Google

คุณจะสามารถสร้าง Report จากพฤติกรรม ของคนที่เข้ามาอ่าน Content ว่าเขาเข้ามาจาก keyword ใด คลิกไปอ่านที่หน้าได้ต่อไปและ keyword ไหนสามารถนำไปสู่การปิดการขายได้

ในช่วงแรกงบประมาณในการโฆษณาอาจจะสิ้นเปลืองไปสักหน่อย เพราะคุณกำลังหว่านแหออกไปเพื่อที่จะ tracking แล้วทำ Report

แต่หลังจากที่มี Data แล้วคุณก็จะสามารถโฟกัสกลุ่มคำที่ใช่ โดยส่วนมากจะเป็น long Tail keyword ทำให้คุณประหยัดค่าโฆษณา และทำ Content หรือยิงแอดได้ตรงประเด็นมากขึ้นในภายหลัง

เรียกได้ว่ายิ่งมีข้อมูลยิ่งได้เปรียบ เพราะในยุคการตลาดดิจิตอล เราสามารถกล่าวได้ว่า “Data is the new gold”

นอกจากโฟกัสที่จะปิดการขายแล้ว คุณยังสามารถดู Report ว่า keyword ใดที่ลูกค้า search เข้ามาจาก Google แล้วกลายมาเป็นผู้สนใจ หรือที่เราเรียกว่า Lead

Lead คือกลุ่มคนที่กรอกข้อมูลเพื่อติดต่อหาเรา เช่นกรอกชื่อ นามสกุล อีเมล เบอร์โทรศัพท์ หรือที่อยู่ และระบุเหตุผลความสนใจของเขาเป็นคำถามต่างๆ

ข้อมูล keyword ที่นำมาซึ่ง Lead นั้นมีความสำคัญมากๆเช่นกัน ไม่ใช่ทุกคนที่เห็นสินค้าหรือสิ่งที่คุณเสนอขาย ในครั้งแรกจะตัดสินใจซื้อในทันที

กลุ่มคนที่ search เข้ามาร่างกายเป็นลูกของคุณ ก็เหมือนกับเขาเดินเข้ามาครึ่งตัว เหมือนว่าคุณได้ปิดการขายสำเร็จไปแล้วครึ่งทาง เขาจึงยอมให้ข้อมูลเหล่านั้นแก่คุณเพื่อให้คุณติดต่อกลับ

7. Geo-Targeting Keyword

การใช้สถานที่ตั้งของคุณเป็นส่วนหนึ่งของคำใน Keyword ค้นหา มีความสำคัญอย่างมาก เพราะสถานที่ตั้งของผู้ให้บริการ และร้านค้า จะเป็นคำแรกที่ลูกค้าใช้เพื่อค้นหาสินค้า หรือบริการของคุณ

ตัวอย่างเช่น คุณควรจะใช้กลุ่มคำว่า ” สำนักงานกฎหมาย แถวพญาไท” แทนที่จะใช้แค่คำกลุ่มคำว่า “สำนักงานกฎหมาย” เฉยๆ

ผู้คนมักจะมีความต้องการที่เฉพาะเจาะจงมากๆ ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งเท่านั้น ตัวอย่างเช่นหากผมกำลังขับรถกลับบ้าน ในตอนเย็นหลังเลิกงาน แล้วบังเอิญอยากกินผัดไทยขึ้นมา ผมคงไม่ Search ว่า “ร้านผัดไทย” เฉยๆ แต่จะ Search ด้วยคำว่า ” ร้านผัดไทยแถวปทุมวัน” หาผมพอดีขับรถผ่านทางนั้น

และถ้าหากผมเป็นคนที่เรื่องมากกับการกินผัดไทยสักหน่อย ผมอาจจะเสิร์ชด้วยกลุ่มคำว่า ” ร้านขายผัดไทยแถวปทุมวัน รอคิวไม่นาน ให้กุ้งตัวใหญ่ ราคาไม่เกิน 90 บาท” เป็นต้น

ซึ่งหากคุณใช้ keyword แบบนี้เพื่อทำ seo โดยจัดทำ Content ที่ตรงความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย คุณจะได้ลูกค้าอย่างแน่นอน

8. LSI Keyword

LSI ย่อมาจาก “Latent Semantic Indexing” เราเรียกกลุ่มคำนี้อีกอย่างว่า “Themtic Keyword”

หลายคนสัมผัสกับ keyword ประเภทนี้ทุกวันผ่าน Google โดยไม่รู้ตัว พูดง่ายๆก็คือเวลาคุณเสิร์ชหาข้อมูลใดๆบน Google ที่แถบค้นหาข้อมูลคุณจะเห็นคำแนะนำเป็น Keyword Suggestionใกล้เคียง ซึ่ง Google จะแสดงให้คุณดูโดยอัตโนมัติ

Keyword กลุ่มนี้ Google แนะนำให้คุณ โดยการเทียบเคียงกับฐานข้อมูลเดิม และเป็นการใช้ AI เข้ามาช่วย เพื่อวิเคราะห์ความต้องการของคุณว่า คุณต้องการ อะไรกันแน่ จากนั้นจึงทำการนำเสนอ Content ที่ Google คิดว่าจะตรงใจ ตรงความต้องการของคุณมากที่สุด

Keyword Suggestion ที่ Google แสดงให้เห็น คุณสามารถนำมาเป็นข้อมูล ในการทำ Content Plan ที่มีประสิทธิภาพได้

เมื่อคุณทำผัง Keyword กลุ่มคำที่เกี่ยวข้องทั้งหมด และ Content Plan ที่ครอบคลุมออกมาแล้ว ขั้นตอนต่อไปก็คือการเริ่มเขียน หรือผลิต Content ประเภทต่างๆ

Content ที่ครอบคลุมประเด็นสำคัญ และน่าสนใจจะทำให้ User ใช้เวลาบนเว็บไซต์ของคุณเพื่ออ่านและดูนานขึ้น ข้อมูลการใช้เวลาของ User นั้น Google ก็จะเก็บเข้าสู่ฐานข้อมูลของตัวเองเช่นกัน

หากเว็บไซต์ของคุณเป็นที่น่าสนใจของลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย พวกเขาก็จะไม่เข้ามาแล้วรีบกดปิดหรือออกไปยังเว็บไซต์อื่นในทันที และนั่นก็เป็นอีกองค์ประกอบสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้คุณกลายเป็น Authority Site สำหรับ Google ด้วย

9. Intent Targeting Keyword

ทุกๆครั้งที่ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายได้ Search หาข้อมูลต่างๆบน Google พวกเขามีความตั้งใจบางอย่างแฝงอยู่เบื้องหลังซึ่งเราเรียกสิ่งนี้ว่า Intent

ซึ่งจะแบ่งออกเป็น 3 ประเภทคือ

– Informational

User กลุ่มนี้ต้องการข้อมูล ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลทั่วไปหรือข้อมูลที่เจาะจงมากๆ คำที่พวกเขาใช้จะเป็นคำประเภท WH Question คือ What, Where, How, When, Why และ Who

อะไร, ที่ไหน, อย่างไร, เมื่อไหร่, ทำไม และ ใคร?

ใน intention ประเภทนี้ User กำลังอยากเรียนรู้บางอย่าง พวกเขาต้องการข้อมูลที่มากขึ้น เกี่ยวกับวิธีการแก้ปัญหา หรือเกี่ยวกับสินค้า และบริการของคุณ ซึ่งหากเราให้ข้อมูลที่ดีและมากเพียงพอ ก็จะช่วยให้ User ตัดสินใจสั่งซื้อสินค้าหรือบริการได้ง่ายขึ้น

– Commercial

กลุ่มคำค้นหา keyword ประเภทนี้ จะเกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการของคุณโดยตรง User มีความตั้งใจที่จะเปรียบเทียบสินค้าหรือบริการในเชิงลึก

พวกเขาอาจจะตัดสินใจแล้วที่จะซื้อ สิ่งที่พวกเขากำลังต้องการรับทราบเพิ่มเติมคือ เขาควรจะซื้อสินค้าตัวนั้นกับใคร

User กลุ่มนี้ต้องการความมั่นใจ และกำลังมองหาผู้ให้บริการที่เขาไว้วางใจได้ ว่าหลังจากซื้อสินค้าไปแล้ว จะไม่เกิดปัญหาตามมาในภายหลัง

– Transactional

User กลุ่มนี้จะเสิร์ชแต่โปรโมชั่นและราคาที่ดีที่สุด หากคุณมีโปรโมชั่นอะไรที่ต้องการจะนำเสนอ ก็สามารถทำได้ในช่วงจังหวะนี้ครับ

คนกลุ่มนี้จะเลือกที่ความคุ้มค่า มากที่สุด แต่อาจจะไม่ใช่ลูกค้าที่ดีที่สุดของคุณ เพราะหาเขามุ่งประเด็นที่ราคาและโปรโมชั่นอย่างเดียว คุณอาจจำเป็นต้องเล่นเกมสงครามราคากับคู่แข่ง ซึ่งจะเป็นเรื่องเหนื่อยมากๆ และอาจจะมีกำไรเหลือน้อย

แต่ไม่ได้หมายความว่าคุณควรมองข้ามโอกาสในการปิดการขายกับลูกค้ากลุ่มนี้ เพียงแต่คุณจะต้องดูตัวเองว่าสามารถนำเสนอราคาและโปรโมชั่นที่อยู่ในเกมการแข่งขันนี้ได้หรือไม่

ลูกค้ากลุ่มนี้มักจะเสิร์ชหาคูปองส่วนลด เว็บไซต์ที่แจก Voucher เซลล์หรือโปรโมชั่นพิเศษต่างๆ

กลยุทธ์ในการทำ Content สำหรับคนกลุ่มนี้คือการแจกคูปองผ่านช่องทางออนไลน์ คุณอาจจะเคยเห็นเว็บไซต์แจก Coupon หรือพวก Groupon มาบ้างแล้ว

นอกจากการแจกคูปองส่วนลดทางช่องทางออนไลน์ จะช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจได้ง่ายขึ้นคุณยังสามารถใช้เป็นกลยุทธ์บีบลูกค้าให้ตัดสินใจได้รวดเร็วยิ่งขึ้นเช่นเดียวกัน เพราะเราสามารถสร้างความรู้สึกเร่งรีบในการซื้อได้ (Sense of Urgency)

ถ้าหากคุณรู้สึกว่าไม่สามารถที่จะแข่งขันทางด้านราคา หรือจัดโปรโมชั่นแรงๆให้กับลูกค้าได้ เพราะ จะไม่เหลือกำไร คุณอาจจะใช้กลยุทธ์ Loss Leader เข้ามาช่วย

Loss Leader คือกลยุทธ์ที่ยอมขายสินค้าถูกมากๆเรียกได้ว่าเท่าทุนหรืออาจจะขาดทุนด้วยซ้ำ โดยหวังว่าสินค้าชิ้นแรกที่ยอมขายในราคาที่ต่ำออกไปนั้น จะสามารถดึงให้ลูกค้าสามารถซื้อชิ้นถัดไปหรือแพ็คเกจที่ใหญ่ขึ้นตามมาได้

Loss Leader คือวิธีการที่ พยายามกดราคาขายให้ต่ำเพื่อให้ได้ลูกค้ามาก่อน จากนั้นจึงพยายามสร้างลูกค้าให้กลายเป็นลูกค้าประจำให้ได้ กลยุทธ์นี้ใช้ได้ดีมากๆในหลายๆธุรกิจเพราะตามหลักของการค้าขาย

เราสามารถเอาต้นทุน ที่สูญเสียไปจากการขายสินค้าชิ้นแรก ตีเป็นค่าการตลาด เมื่อตัวเลขติดลบจากการขายเหล่านั้นไปอยู่ในงบประมาณทางการตลาด ก็จะไม่ทำให้ภาพรวมของบริษัทคุณขาดทุน

สรุปกลยุทธิการทำ Keywords Research ประเภทต่างๆ

จากคีย์เวิร์ด 9 ประเภทที่เรากล่าวมา คือ Short-Tail, Long-Tail, Evergreen(Long Term), Customer Defining, Geo-Targeting, LSI, Intent Targeting

แต่ละตัวก็มีจุดแข็ง และจุดอ่อนแตกต่างกันไป ซึ่งเหมาะสมกับวัตถุประสงค์ และสถานการณ์ที่แตกต่างกัน

หลักการคือเราจะต้องทำ keyword Research ให้เป็นเพื่อนนำไปใช้ทำผัง Content Planning จากนั้นคุณจึงจะได้แผนการตลาดออนไลน์ออกมาเป็นแผนระยะสั้น กลาง และยาว

ในการทำการตลาดออนไลน์เมื่อคุณมี Content แฟนที่ดีแล้วคุณจึงจะสามารถเริ่มต้นผลิตคอนเทนต์ และจัดทำบทความต่างๆที่มีคุณภาพ ตรงตามความต้องการของลูกค้ากลุ่มเป้าหมายได้

เปลี่ยนลูกค้าให้กลายเป็น Brand Ambassador ของคุณ

Phrase 4: Advocacy เปลี่ยนลูกค้าให้กลายเป็น Brand Ambassador ของคุณ Advocacy คืออะไร? ถึงตอนนี้คุณได้ใช้ Content ต่าง ๆ เป็นกลยุทธฺืหลักในการสื่อสาร กับลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย ซึ่งลูกค้าได้ซื้อสินค้าแล้ว แต่กระบวนการทางการตลาดนั้นยังไม่สิ้นสุด เพราะคุณยังมีภาระกิจสำคัญ...

read more

ช่วยร้านรอบข้าง เพื่อร้านตัวเอง

Photo Source: freepik.com   ชายคนหนึ่งไปซื้อตึกเพื่อทำร้านอาหาร ลงทุนตกแต่งไปมากมาย แต่เพิ่งมารู้ทีหลังว่าทำอะไรตรงนั้นมีปัญหามาก และขายไม่ค่อยดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาเย็น ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เขาคาดหวังยอดขายเพราะคนแถวนั้นจะเลิกงานและมีโอกาสจะได้ลูกค้านั่งดื่ม...

read more

วิธีการสร้าง Brand Message

Brand Message คือข้อความสำคัญบางอย่าง ที่สะท้อนถึงตัวตนของบริษัทของคุณ สินค้าของคุณ และแบรนด์ของคุณ Message ของแบรนด์ที่ดีจะต้อง เชื่อมโยงความรู้สึก และความสัมพันธ์ ให้เกิดผลกระทบไปยังลูกค้ากลุ่มเป้าหมายได้ Message ของแบรนด์จะสะท้อนไปยังองค์ประกอบต่างๆของการโฆษณา...

read more